EXIM BANK สร้างผู้ส่งออก SMEs ป้ายแดงและปล่อยกู้ลูกค้าใหม่เพิ่ม 3 เท่าสะท้อนกลับเป็นความแข็งแกร่งของธนาคาร กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 346% ในไตรมาส 1/2565หนุนทุนไทยไป CLMV และเปิดสำนักงานผู้แทนในเวียดนามอย่างเป็นทางการในเดือน มิ.ย. นี้

EXIM BANK สร้างผู้ส่งออก SMEs ป้ายแดงและปล่อยกู้ลูกค้าใหม่เพิ่ม 3 เท่าสะท้อนกลับเป็นความแข็งแกร่งของธนาคาร กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 346% ในไตรมาส 1/2565หนุนทุนไทยไป CLMV และเปิดสำนักงานผู้แทนในเวียดนามอย่างเป็นทางการในเดือน มิ.ย. นี้

EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2565 ขยายสินเชื่อและสนับสนุนลูกค้าผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ได้มากขึ้น โดยมีวงเงินอนุมัติใหม่ 14,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.37% ทำให้เกิดผู้ส่งออกป้ายแดงและธุรกิจใหม่มากขึ้น เป็นวงเงินลูกค้า SMEs 4,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 215.67% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ธนาคารสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้มากถึง 11,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น361.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ธนาคารเติบโตแข็งแกร่งขึ้นในทุกมิติ มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2565 เท่ากับ 411 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 346.05% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยขยายธุรกิจได้มากขึ้นใน CLMV จากการสนับสนุนของ EXIM BANK โดยมียอดคงค้างสินเชื่อโครงการลงทุนระหว่างประเทศใน CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) รวมทั้งตลาดใหม่ (New Frontiers) 51,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,069 ล้านบาท หรือ 18.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในเวียดนามมียอดคงค้าง 13,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น65.65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ภายหลังเปิดดำเนินการสำนักงานผู้แทนในนครโฮจิมินห์เมื่อปีที่ผ่านมา 

ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงผลการดำเนินงานในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2565 แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนที่สูง ทั้งจากผลกระทบของโควิด-19 ที่ยังระบาดอย่างหนักในหลายประเทศ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ อาทิ สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ แต่ EXIM BANK ยังคงเดินหน้าตามพันธกิจหลักเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เป็นนักรบเศรษฐกิจที่รู้ทันโลกและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามวิสัยทัศน์ในการเป็น “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank)”

EXIM BANK ขับเคลื่อนตามวิสัยทัศน์ที่สนับสนุนการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มการจ้างงานและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยในไตรมาส 1 ของปี 2565 EXIM BANK มีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 14,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง74.37% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นวงเงินของลูกค้าขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) จำนวน 4,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 215.67% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้มีการปล่อยวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ให้กับลูกค้ารายใหม่ถึง 11,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 361.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความสำเร็จของธนาคารในการเข้าถึงธุรกิจรายใหม่ ทำให้มีสินเชื่อคงค้าง 150,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,209 ล้านบาท หรือ 12.06% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 38,030 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 112,591 ล้านบาท 

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมุ่งมั่นเป็นผู้นำ (Lead Bank) พากิจการไทยไปปักธงในตลาด CLMV และNew Frontiers ที่มีศักยภาพและอัตราการเติบโตสูง โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 EXIM BANK มียอดคงค้างสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 65,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 5,543 ล้านบาทหรือ 9.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อจำแนกเป็นรายตลาดที่สำคัญ EXIM BANK ยังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการสยายปีกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และตลาดใหม่ (New Frontiers) อย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 มีสินเชื่อคงค้างจำนวน 51,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น8,069 ล้านบาท หรือ 18.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นสินเชื่อคงค้างในเวียดนามซึ่งเป็นประเทศล่าสุดที่ธนาคารได้เปิดทำการสำนักงานผู้แทน จำนวน 13,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย EXIM BANK มีกำหนดจัดพิธีเปิดสำนักงานผู้แทนในนครโฮจิมินห์อย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้

ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นของเศรษฐกิจโลก EXIM BANK เร่งเสริมสร้างความมั่นใจแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยด้วยการเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ประกอบการมีโอกาสได้รับชำระเงินล่าช้าหรือถูกปฏิเสธการชำระค่าสินค้า ในช่วงไตรมาสแรกของปี2565 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 53,164 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 799 ล้านบาท หรือ 1.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะเดียวกัน EXIM BANK ให้ความสำคัญกับการรักษาสถานะทางการเงินที่มั่นคง โดยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 4,307 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 เพียง 2.86% แต่มีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(Expected Credit Loss) จำนวน 11,880 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 275.81% ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 EXIM BANK มีกำไรสุทธิเท่ากับ 411 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 346.05% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากการมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งด้านสินเชื่อและบริการประกัน ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม2565 EXIM BANK มีจำนวนลูกค้าอยู่ที่ 5,022 ราย เพิ่มขึ้นถึง 16.76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้า SMEs 82.78% ซึ่ง EXIM BANK ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่าง ๆ แม้แต่ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และต้นทุนโลจิสติกส์สูงขึ้น อาทิ สินเชื่อ EXIM เพื่อซัพพลายเออร์ส่งออก และสินเชื่อ EXIM Logistics ที่ EXIM BANK ดำเนินการร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เพื่อลดภาระต้นทุนให้กับผู้ส่งออกและนำเข้า นอกจากนี้ ได้เผยแพร่ข้อมูลและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการผ่านการให้คำปรึกษาและจัดอบรมออนไลน์อย่างต่อเนื่องทำให้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการกว่า 14,200 ราย ด้วยวงเงินรวมประมาณ 76,700 ล้านบาท

“ปี 2565 EXIM BANK ยังคงเดินหน้าขยายบทบาทการเป็น Thailand Development Bank ที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของประเทศและเดินเกมเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีรายได้สูงโดยมุ่งผลักดันการพัฒนาประเทศในมิติเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการดำเนินภารกิจ “ซ่อม สร้าง เสริม และสานพลัง” กับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เป็นฟันเฟืองสำคัญของการพัฒนาประเทศผ่านการสนับสนุนโครงการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (BCG Economy) เพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันของไทยให้ผลิตและส่งออกสินค้า/บริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น พัฒนาภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่รองรับความต้องการของผู้ประกอบการ เช่น พัฒนาระบบนิเวศของตลาดคาร์บอน สนับสนุนสินเชื่อเพื่อลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Orchestra) ออกผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายการเงินอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Finance) ซึ่ง EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแห่งแรกที่มีนโยบายดังกล่าว ประกอบกับสร้างโอกาสและความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการ SMEs ให้เติบโตในต่างประเทศไปพร้อม ๆ กัน” ดร.รักษ์ กล่าว

ข่าวเกี่ยวข้อง